Page 57 - คู่มือพืช - ไร่
P. 57

คู่มือพืชไร่ - นา




              ต่อการหักล้มได้ดี ทรงกอตั้งตรงเก็บเกี่ยวง่าย มีการแตกกอ  การปลูก
              ดีมาก จะออกดอกประปรายในราวปลายเดือนพฤศจิกายน           ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกด้วยมือโดยการวางท่อนพันธุ์
              มีความต้านทานต่อโรคแส้ด�าดี แต่ไม่ต้านทานโรคราสนิม   ลงในร่องให้แนบก้นร่องให้ห่างกันจากกึ่งกลางท่อนประมาณ

              (leaf rust) ตอบสนองต่อปุ๋ยดีมากเหมาะส�าหรับปลูกในพื้นที่ ๓๐ - ๕๐ ซม. (ระยะระหว่างกอ) แล้วใช้ดินละเอียดจากส่วน
              ที่มีการชลประทาน เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี ให้ผลผลิต ที่มีความชื้นอยู่กลบให้มิดโดยสม�่าเสมอ ความหนาของดิน
              ประมาณ ๒๐ ตันต่อไร่                              ที่กลบขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือฤดูกาล ถ้าปลูกหน้าฝน
                    พันธุ์พินดาร์ (Pindar) เป็นพันธุอ้อยลูกผสมระหว่าง  กลบบางประมาณ ๒.๕ ซม. แต่ถ้าปลูกหน้าแล้งหรือปลายฝน

              Co.270 กับ 33 M.Q.157 น�ามาปลูกครั้งแรกในประเทศไทย ต้องกลบหน้าประมาณ ๕ ซม. และเหยียบให้แน่นในดินที่มี
              เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ จากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา เช่น การระบายน�้ายากหรือดินที่มีน�้ามากเกินไป การปลูกแบบ
              เดียวกันกับพันธุ์ F.140 เป็นอ้อยที่มีความหวานสูงมากกว่า ปักเอียง ๔๕๐ ท�าให้มีเปอร์เซ็นต์การงอกดีกว่าการวางท่อน
              พันธุ์อื่น มีทรงกอแผ่กว้าง แตกกอค่อนข้างดี เหมาะส�าหรับ พันธุ์ในแนวราบ ในกรณีที่มีการใส่ปุ๋ยรองพื้นอย่าให้ท่อน

              การท�าอ้อยตอ กาบใบมีขนปกคลุมปานกลางและกาบใบ พันธุ์สัมผัสกับปุ๋ยในร่องเพราะจะท�าให้อ้อยงอกช้า ในแหล่ง
              มักร่วงหลุดเอง มีล�าไม่แข็งนัก จึงมีการหักล้มสูงโดยเฉพาะ  ที่มีปลวกมากควรพ่นยากันปลวกลงบนท่อนพันธุ์ก่อนกลบดิน
              อย่างยิ่งเมื่อมีการใส่ปุ๋ยในอัตราสูง ถ้าเป็นอ้อยตอจะออกดอก
              มากเป็นพันธุ์อ้อยที่ไม่ค่อยทนทานต่อโรคแส้ด�า และโรคไส้แดง   การปฏิบัติรักษาภายหลังปลูก

              ล�ามักจะแตกและไส้กลวงเมื่อถึงปลายฤดูหีบ ปลูกมากในเขต     การให้น�้า
              ที่มีการชลประทานแถบจังหวัดสุพรรณบุรี มีอายุเก็บเกี่ยว     การที่จะให้น�้าก่อนหรือหลังขึ้นอยู่กับชนิดของดิน
              ประมาณ ๑๑ เดือน และให้ผลผลิตประมาณ ๑๑ ตันต่อไร่  เช่น ดินชุดก�าแพงแสนชาวไร่มักจะให้น�้าก่อนเมื่อดินหมาด
                    พันธุ์เอฟ ๑๕๖ (F.156) เป็นพันธุ์อ้อยลูกผสม   จึงปลูก หากให้น�้าหลังจากปลูกท�าให้ดินแน่น ในดินที่ไม่มี
              ระหว่าง F.141 กับ C.P.34-39 น�าเข้ามาจากไต้หวันเมื่อ   ปัญหาเรื่องดินแน่น นิยมให้น�้าภายหลังปลูก อ้อยมีอายุ

              ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยนายน้อม  ขันติคุณ เจ้าหน้าที่ของส�านักงาน   เก็บเกี่ยว ๙ - ๑๒ เดือน ตลอดระยะการเจริญเติบโตจึง
              อ้อยและน�้าตาลทราย มีลักษณะการแตกกอดีปานกลางล�ายาว  ต้องการน�้าอย่างสม�่าเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่อ้อย
              โค้งเล็กน้อย ต้านทานต่อการหักล้มได้ดีปานกลาง ออกดอก  มีการย่างปล้อง อย่างไรก็ตามหากอ้อยได้รับน�้ามากเกินไป

              ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน กาบใบไม่หลุดร่วงเอง     จนเกิดสภาพน�้าขังจะท�าให้รากอ้อยไม่สามารถด�าเนินกิจกรรม
              แต่ลอกได้ง่าย ต้านทานโรคแส้ด�าค่อนข้างดี เหมาะสมใช้ปลูก  ตามปกติได้อ้อยจะเติบโตช้า และมี CCS ต�่า นอกจากนี้การที่ดิน
              ในเขตชลประทานและที่มีดินเหนียวจัด ให้ผลผลิตสูงประมาณ   มีความชื้นมากเกินไปในระยะอ้อยเริ่มงอกจะท�าให้มีวัชพืชเกิด
              ๒๐ ตันต่อไร่                                     ขึ้นมาก ต้องเสียแรงงานในการก�าจัดวัชพืชสูง อีกประการหนึ่ง
                    พันธุ์ชัยนาท ๑ (2-1-123E) เป็นอ้อยที่คัดเลือกมา   ก่อนเก็บเกี่ยวอ้อยหนึ่งเดือนควรหยุดให้น�้าเพื่อบังคับให้ลด

              จากลูกผสมระหว่าง F.160 กับ Co.775 โดยนักวิชาการของ  อัตราการเจริญเติบโตทางด้านล�าต้นและใบและให้รีดิวซิงซู
              สถาบันพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร มีลักษณะส�าคัญคือแตกกอ   การ์เปลี่ยนไปเป็นซูโครสให้มาก
              ดีปานกลาง ประมาณ ๕ ล�าต่อกอ แต่ไม่ต้านทานต่อการหักล้ม

              ออกดอกมากประมาณปลายเดือนตุลาตม กาบใบไม่หลุดร่วง  การก�าจัดวัชพืช
              เองแต่ลอกง่าย ต้านทานต่อโรคแส้ด�าปานกลาง มีความแห้ง     ในกระบวนศัตรูพืชที่ส�าคัญซึ่ง ได้แก่ โรคพืช แมลง
              แล้งได้ดีเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว เหมาะส�าหรับปลูกในเขต  และสัตว์ต่าง ๆ วัชพืชนับได้ว่าท�าความเสียหายให้กับพืชปลูก
              ชลประทานและที่มีดินเหนียวจัด ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ประมาณ   มากที่สุด จากการทดสอบการไม่ก�าจัดวัชพืชในประเทศไทย
              ๒๐ ตันต่อไร่
                                                               พบว่าท�าความเสียหายแก่ผลผลิตอ้อยมากกว่า ๘๐% อ้อย





                                                            46
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62